วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชุมชนกุฏีจีน


มรดกวัฒนธรรม สามศาสนา ย่านกุฎีจีน
ข้อมูลทั่วไป
ชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ที่แขวงกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

อาณาเขต
ทิศเหนือ           ติดกับ     ชุมชนวัดกัลยาณ์
ทิศใต้               ติดกับ     โรงเรียนซางตาครู้สศึกษา
ทิศตะวันออก   ติดกับ     แม่น้ำเจ้าพระยา
ทิศตะวันตก     ติดกับ     ถนนเทศบาลสาย 1

โครงสร้างประชากร
จำนวนบ้านทั้งหมด 280 หลังคาเรือน
จำนวนครอบครัว    346 ครอบครัว
จำนวนประชากร 1850      คน
-                   ผู้ชาย      820         คน
-                   ผู้หญิง    1030      คน

(ข้อมูลจากที่ทำการชุมชนกุฎีจีน ปี พ.ศ.2554)

ประวัติและความเป็นมาของชุมชน
ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศใต้บริเวณพระราชวังเดิม เป็นที่ตั้งของย่านเก่าที่ผู้คนได้อพยพติดตามสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาตั้งถิ่นฐานภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.2310
คำว่า “กุฎี” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กะดี” เป็นคำโบราณที่ใช้เรียกอาคารหรือศาสนสถานมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาและต่อเนื่องจนถึงกรุงธนบุรี
กุฎีจีน หรือ กะดีจีน คือชื่อเรียกชุมชนอันติดปากผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ หากได้ยินเพียงชื่อ อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นชุมชนชาวจีน แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่ได้มีแค่คนจีนเท่านั้น ยังมีผู้คนหลากหลายทั้งมุสลิมและชาวคริสต์ อาศัยอยู่ร่วมกันมา 200 ปีแล้ว

      ผู้คนในชุมชนส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเห็นได้จากการตกแต่งบ้านเรือนด้วยศิลปะที่กล่าวถึงและบูชาพระเยซูคริสต์ คนในชุมชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด สามัคคีกลมเกลียวฉันเครือญาติ มีบาทหลวงเป็นผู้นำชุมชน เมื่อมีกิจกรรมในชุมชน สมาชิกชุมชนต่างพร้อมใจร่วมมืออย่างเต็มที่
           ภายในชุมชนยังสามารถพบเห็นบ้านไม้สถาปัตยกรรมในรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของ"เรือนแบบขนมปังขิง" หรือเรือนมะนิลา อันเป็นรูปแบบของอาคารที่มีการตกแต่งประดับประดาด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลาย ตามบริเวณหน้าจั่ว ช่องระบายอากาศ ลูกกรงระเบียง และรอบชายคา




และในปัจจุบัน ชุมชนกุฏีจีน ยังปรากฏตระกูลที่สืบเชื้อสายโปรตุเกสอยู่ถึง 18 ครอบครัว อาทิ
.               1.  แก้วขจร
2.  โกกิลานนท์
3.  โกญจนาท
4.  ไกรประสิทธิ์
5.  จเรินสุข / เจริญสุข มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า ฟิลลิปเป
6.  จุลละมณฑล มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เปรล่า
7.  ตากรู้ส
8.  ทรรทรานนท์
9.  ธนูสิงห์
10.  นิตโย
11.  ประสาทพร มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เบเนดิกส์
12.  มณีประสิทธิ์ มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เบเนดิกส์
13.  วิรัชพากย์
14.  สกุลทอง
15.  สวสุต
16.  สิงหทัต มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า โอลิม
17.  หอมนิยม
18.  กัลมาพิจิตร์  สืบเชื้อสายมาจากขุนกัลมาพิจิตร์ กรมฝรั่งแม่นปืน ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


                แต่ตระกูลที่มีชื่อเสียง และสร้างความน่าสนใจให้กับชุมชนนี้ คือตระกูล “ธนูสิงห์” โดยมีชื่อเสียงจากการที่ยังคงทำขนมโบราณในแบบฉบับดั้งเดิมที่รู้จักกันดีในชื่อ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน”
                ขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นขนมโบราณที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ ปัจจุบันขนมกุฎีจีนได้ทำอยู่ประจำที่ชุมชนกุฎีจีน เอกลักษณ์ของขนมกุฎีจีนชนิดนี้อยู่ที่เป็นขนมลูกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นตำรับของโปตุเกส ขณะที่หน้าของขนมเป็นจีน ซึ่งประกอบด้วยฝักเชื่อม ชาวจีนเชื่อว่ารับประทานแล้วจะร่มเย็น น้ำตาลทรายทานแล้วจะมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนกับน้ำตาลทรายที่นับเม็ดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีลูกพลับอบแห้ง และลูกเกด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีราคาและมีคุณค่าทางอาหาร แม้ขนมฝรั่งหน้าตากระเดียดมาทางขนมเค้ก แต่ด้วยสูตรพิเศษที่สืบทอดมาแต่โบราณจะใช้เพียงไข่ แป้งสาลี และน้ำตาลทรายแดงเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของเนยนม ยีสต์ ผงฟู และสารกันบูด แต่เมื่อผ่านการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ จะได้ขนมที่ออกมารสชาติกรอบนอกนุ่มในพอดิบพอดี ยากที่จะเลียนแบบ
               

              การอยู่ร่วมกันของชาวชุมชนกุฎีจีนถือเป็นวิถีชีวิตที่มีความน่าสนใจและอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างมาก และสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของแต่ละศาสนาที่ประกอบอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม โดยชุมชนกุฎีจีนมีสถานที่สำคัญและประวัติความเป็นมาที่หลากหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา ที่ประกอบกันด้วย 3 ศาสนา ดังนี้

ศาสนาพุทธ
1. ศาลเจ้าเกียนอันเกง
ตามบันทึกประวัติศาลเจ้าเกียนอันเกง บันทึกว่ากุฎีจีนสร้างในสมัยกรุงธนบุรีโดยชาวจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสิน เดิมมี 2 ศาล คือ ศาลเจ้าโจวซือกง และศาลเจ้ากวนอู ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 ย้ายพระนครไปกรุงเทพ คนจีนเหล่านี้จึงอพยพไปรวมกับพวกที่ย่านตลาดน้อยและสำเพ็ง ศาลเจ้าจึงถูกทิ้งร้าง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้บูรณะรวมกันเป็นศาลเดียวกันแล้วอัญเชิญเจ้าแม่กวนอิมมาประดิษฐานให้ชื่อว่า ศาลเจ้าเกียนอันเกง ศาลเจ้านี้จึงเป็นร่องรอยของชุมชนในย่านกุฎีจีน
2. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร 
เป็นพระอารามหลวงสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในวิหารหลวงประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัย และภายในวิหารเล็กมีภาพเขียนฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นเรื่องพุทธประวัติ และความเป็นอยู่ของบ้านเรือนไทยในยุคนั้น
3. วัดประยุรวงศาวาส
วัดประยุรวงศาวาส เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ภายในวัดมีสถานที่สำคัญที่เป็นการบ่งบอกถึงการอยู่ร่วมกันของความหลากหลายในชุมชน
“เขามอ” เป็นภูเขาจำลองขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาตั้งอยู่กลางสระน้ำบริเวณหน้าวัด มีศาลาราย ๘ หน้า ตั้งอยู่ริมสระน้ำเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีบันไดขึ้นสู่ยอดเขา บนยอดเขาเป็นที่ตั้งพระสถูปหล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทองสำหรับบรรจุพระพุทธรูปสำคัญไว้ภายใน และทางทิศใต้ของเขามอ เป็นที่ตั้งของมณฑปโกธิค ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเบื้องหลังมณฑปโกธิค ยังมีศาลเจ้าจำลอง ทำให้เราสามารถเห็นภาพของสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานได้อย่างชัดเจน



ศาสนาคริสต์
                โบสต์ซางตาครู้ส
                อีกหนึ่งศาสนสถานที่อยู่คู่กับชุมชนแห่งนี้มากว่า ๒๔๐ ปี ศาสนสถานแห่งนี้ก็คือ วัดซางตาครู้ส หรือโบสถ์ซางตาครู้ส เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกชาวชุมชนกุฎีจีนที่นี่สืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกสตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายแก่ข้าศึก ชาวยุโรปส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปนอกราชอาณาจักร คงเหลือไว้แต่ชาวโปรตุเกสที่เข้าร่วมรบกับพระยาตาก จวบจนได้รับชัยชนะเหนือพม่าข้าศึก ดังจดหมายของสังฆราชเลอบ็อง(Mgr. Le Bon) กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงวางพระราชหฤทัยในพวกเข้ารีตคำว่าพวกเข้ารีต นี้ หมายถึงพวกคริสตังเชื้อสายโปรตุเกส
                ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี คุณพ่อยาโกเบ กอรร์(Jacues Corre) บาทหลวงมิชชันนารีที่ลี้ภัยสงครามไปอยู่ในเขมรได้เดินทางกลับมายังเมืองบางกอก พร้อมกับคริสตังชาวญวน ๓ คน และชาวไทยอีก ๑ คน โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานที่ดินและโอนที่ดินผืนหนึ่งให้บริเวณใกล้ปากคลองบางกอกใหญ่ เมื่อ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.. ๒๓๑๒ คุณพ่อกอรร์ ได้ตั้งชื่อที่ดินผืนนี้ว่า ซางตาครู้ส” (Santa Cruz) ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกส Santa แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ Cruz = Cross แปลว่า ไม้กางเขนรวมความหมายถึง กางเขนศักดิ์สิทธิ์ฉะนั้นในวันที่ ๑๔ กันยายนของทุกปี จะมีพิธีฉลองไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ตัวอาคารของวัดซางตาครู้ส เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก และเรเนอซองส์ อาคารโบสถ์หลังนี้นับเป็นหลังที่ ๓ นับตั้งแต่มีการตั้งวัดซางตาครู้ส



ศาสนาอิสลาม
ชาวมุสลิมเป็นกลุ่มชนที่มาตั้งรกรากในธนบุรีจำนวนมากรองจากชาวจีน ส่วนใหญ่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา ภายหลังสมเด็จพระเจ้าตากสิน สถาปนากรุงธนบุรีแล้ว มุสลิมบางส่วนอยู่ในธนบุรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะธนบุรีเป็นเมืองท่าจึงมีพ่อค้ามุสลิมจากหัวเมืองมลายูโดยเฉพาะหลังจากประเทศไทยเปิดการค้าเสรีภายใต้สนธิสัญญาเบาริ่ง ศูนย์กลางของมุสลิมในธนบุรีอยู่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ โดยมีมัสยิด ดังนี้
1. มัสยิดบางหลวง
                มัสยิดบางหลวง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2328) โดยพ่อค้ามุสลิมชื่อโต๊ะหยี ได้รวบรวมสมัครพรรคพวก ทำการก่อสร้างมัสยิดขึ้นในหมู่บ้าน เป็นทรงไทยก่ออิฐถือปูนทั้งหลังมีหน้าบันหน้า-หลังประดับด้วยปูนปั้นลายศิลปะ 3 ชาติคือ ที่กรอบหน้าบัน เป็นเครื่องลำยอง ประดับห้ามลายไว้บนยอด เป็นศิลปะไทย ส่วนในหน้าบัน เป็นปูนปั้นลายก้านแย่งใบฝรั่งเทศ เป็นศิลปะฝรั่ง และที่ส่วนดอกไม้ เป็นดอกเมาตาล เป็นศิลปะจีน
                ลายศิลปะ 3 ชาตินี้ ได้นำมาประดับที่กรอบประตูและหน้าต่างทุกบานของมัสยิด ในส่วนตัวอาคารที่เป็นปูน ทาสีขาวทั้งหมด ส่วนที่เป็นไม้จึงสีเขียว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าว่า "กุฎีขาว" (คำว่า กุฎี ถูกนำมาใช้เรียกศาสนสถานของมุสลิมมาแต่สมัยอยุธยา แต่เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 ได้เปลี่ยนคำเรียกเป็นมัสยิด) ขณะเดียวกัน ท่านโต๊ะพิมเสน ได้ขอซื้อพระตำหนักวังหน้าเก่ามาทำเป็นศาลามัสยิดขึ้น 1 หลัง เป็นไม้ทั้งหลังและเป็นทรงไทยเช่นเดียวกัน
                แม้ตัวอาคารจะเป็นทรงไทย ซึ่งนับว่าเป็น มัสยิดก่ออิฐถือปูนแห่งเดียวในโลกที่เป็นทรงไทยแต่ผู้สร้างก็ได้บรรจุหลักการสำคัญของศาสนาอิสลามไว้ คือ มี มิมบัร (แท่นแสดงธรรม คล้ายธรรมาศน์ของพระภิกษุ) มิหฺร็อบ (ที่ละหมาดของอิหม่าม) โครงสร้างภายในก็เป็น พื้นราบ สะอาด ปราศจากรูปเคารพ มีเสาค้ำยันพาไล จำนวน 30 ต้น เท่ากับบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุลอาร ที่มี 30 บท และห้องละหมาดมี 12 หน้าต่าง 1 ประตู รวม 13 ช่อง เท่ากับจำนวนรุกุ่น หรือกฎละหมาด 13 ข้อ
                30 ปีถัดมา มิมบัรเก่าในมัสยิดชำรุดลง เจ้าสัวพุก พ่อค้าจีนมุสลิม (ต้นตระกูล พุกภิญโญ) ได้ทำการก่อสร้างมิมบัรและมิหรอบขึ้นใหม่ เป็นซุ้มทรงวิมาน ก่ออิฐถือปูนปิดทอง ผสมผสานด้วยลวดลายปูนปั้นของศิลปะ 3 ประกอบด้วย ฐานเสา เป็นปูนปั้นลวดลายไทย เกี่ยวกระหวัดด้วยกิ่งใบฝรั่งเทศและดอกเมาตาลของจีน ตลอดตัวเสาประดับกระจกสีลายไทย เป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายรักร้อย และลายแก้วชิงดวง
      
                ส่วนด้านบนเป็นทรงวิมาน 3 ยอด สอดแทรกด้วยลวดลาย ก้านใบฝรั่งเทศและดอกเมาตาลของจีน เต็มทั้ง 3 ยอด ตลอดทั้งซุ้มประดับด้วยกระจกหลากสี พร้อมกับได้แกะสลักแผ่นไม้เป็นอักษรอาหรับนูนลอย เป็นชื่อ อัลเลาะห์ นบีมูฮำหมัด บุคคลสำคัญของศาสนา บทอัลกุรอานที่สำคัญ ติดตั้งไว้ภายในซุ้ม
2. มัสยิดต้นสน
                เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งของประเทศไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มัสยิดต้นสน เดิมเรียกว่า “กุฏีใหญ่ โดยเรียกย่อมาจากคำว่า กุฏีบางกอกใหญ่เพราะตั้งอยู่บริเวณใกล้ปากคลองบางกอกใหญ่ หลังจากมีการสร้างอาคารใหม่และปลูกต้นสนคู่ที่หน้าประตูกำแพง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “มัสยิดต้นสน

                มัสยิดต้นสนเมื่อแรกสร้างเป็นเพียงเรือนไม้ยกพื้น ฝาขัดแตะ และหลังคามุกจาก หลังจากที่ชาวมุสลิมที่มาประกอบพิธีทางศาสนามีจำนวนมากขึ้น จึงมีการขยายมัสยิดให้กว้างขวาง โดยเปลี่ยนเป็นเรือนไม้สักและหลักคามุงกระเบื้อง ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้มีการสถาปนามัสยิดให้เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันเป็นลายลงรักปิดทองประดับช่อฟ้า ใบระกาคล้ายวัดในพุทธศาสนา ต่อมารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้ยกช่อฟ้าใบระกาออก เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด

                อาคารหลังเดิมที่สร้างในปี พ.ศ.๒๓๕๙ เกิดทรุดตัวลง ในวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๕ กรรมการมัสยิดในช่วงนั้นจึงได้ทำการสร้างมัสยิดต้นสนขึ้นใหม่ โดยพยายามรักษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมเดิมไว้ให้มากที่สุด ผนังก่ออิฐมอญโดยใช้อิฐของเดิม กรอบประตูและหน้าต่างตกแต่งบัวปูน เฉพาะกรอบประตูทางเข้าด้านหน้าตกแต่งด้วยบัวหินขัดสีขาว ด้านหน้าเป็นหน้ามุขยื่นออกมา และก่อสูงเป็นรูปโดมรูปทรงแบบอาหรับอิยิปต์ ภายในมีมิมบัรและมิฮฺรอบมีลักษณะสวยงาม และมีแผ่นกระดานที่พบในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แกะสลักเป็นภาษาอาหรับกะอบะห์ และผังมัสยิดอัลฮะรอม ในนครเมกกะห์ซึ่ง ถือว่ามีคุณค่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก มัสยิดต้นสนหลังนี้สร้างเสร็จและมอบงานเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๔๙๗ และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้



จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนที่มีคนอยู่ร่วมกันถึงสามศาสนา คือ พุทธ คริสต์ และอิสลาม มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี ทำให้เกิดโครงการมากมายที่ต้องการสืบสานมรดกวัฒนธรรมย่านกุฎีจีน ซึ่ง "ย่านกุฎีจีน" นั้นยังได้รับเลือกเป็นพื้นที่นำร่องชุมชนโบราณกลางเมือง ด้วยเหตุที่เป็นชุมชนเก่าแก่เพียงไม่กี่ชุมชน ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างสวยงามหลงเหลืออยู่ภายในเป็นจำนวนไม่น้อยไม่น้อย
แต่ถึง "ย่านกุฎีจีน" จะเป็นย่านนำร่องในการบำรุงรักษาชุมชนเชิงอนุรักษ์ จากการเดินสำรวจภายในและโดยรอบชุมชน ทำให้พบว่าในปัจจุบันพื้นที่ของชุมชนกำลังถูกทำลายทั้งจากสิ่งก่อสร้างที่กำลังเพิ่มขึ้น ความสะดวกสบายทางการคมนาคมที่เข้าใกล้มากขึ้น อาจจะทำให้ความสงบสุขและความเงียบที่เป็นเสน่ห์ของกุฎีจีนอาจค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา

สถาปนิก IDOL รุ่นพี่ลาดกระบัง

สถาปนิก IDOL รุ่นพี่ลาดกระบัง

             พี่นัน หรือ นายนันทวัชร์ ชัยมโนนาถ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ และแนะนำเส้นทางการเดินเข้าสู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผู้ที่ทำให้ความฝันของใครหลายคนเป็นความจริงมาเป็นเวลาหลายปี
              หลังจากที่เราหลายคนอาจจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อของพี่นันในฐานะ ผู้สอนของสถาบันติว
 A-le paint ที่โด่งดัง เราจะมารู้จักพี่นันในอีกด้านหนึ่ง มุมมองและข้อคิดต่างๆ ในฐานะของ "สถาปนิก" มืออาชีพกันบ้างนะคะ



              
สวัสดีค่ะพี่นัน ขออนุญาตถามประวัติส่วนตัวคร่าวๆนะคะพี่ ว่าพี่เรียนจบที่ไหน ปีไหน แล้วมีการศึกษาต่อปริญญาโทที่ไหน ในสาขาใดบ้างคะ

             พี่เรียนจบปริญญาตรีที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบังนี่แหละครับ เรียนจบเมื่อปี2546 ส่วนปริญญาอีกใบเป็น การออกแบบสื่อสารคอมพิวเตอร์ เอส เอ อี อินเตอร์นาชั่นนอล ส่วนปริญญาโท ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาบริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มหาลัยธรรมศาสตร์ครับ

ในการทำงานของพี่ในปัจจุบัน พี่ทำงานด้านใดบ้างคะ

การทำงานของพี่ตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนครับ
           ส่วนแรกคือ การเขียนและสอนหนังสือครับ ก็มีทั้งสอนประจำที่สถาบัน เอ เลอ เพนต์ และโครงการ เปปทีน ของเครือบริษัทโอสถสภาครับ รวมถึงทำคู่มือหนังสือและออกข้อสอบสถาปัตย์ในโครงการต่างๆครับ 
ภาพบรรยากาศการสอนที่งานเปปทีน
ภาพรวมเหล่าน้องๆ เอเลอร์เพนท์

ตัวอย่างภาพประกอบในหนังสือของพี่นัน
               ส่วนที่สองคือ การบริหารงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครับ รวมถึงการให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจประเภทนี้ 
            ส่วนสุดท้ายคือ อาชีพสถาปนิกนักออกแบบครับ ทำงานที่บริษัทคาเมร็อต เวิร์คสครับ ถ้าจะโฟกัสก็อาจจะเลือกโฟกัสในส่วนของสถาปนิกดีกว่าครับ จะได้ตรงกับสายการเรียนของน้องที่กำลังจะจบมาเป็นสถาปนิกในอนาคตครับ

เมื่อพูดถึงวิชาชีพสถาปนิก พี่มีแนวคิดอย่างไรกับลักษณะการทำงานในปัจจุบันคะ

            ลักษณะการทำงานของอาชีพสถาปนิกในปัจจุบัน จริงๆแล้วก็เป็นรูปแบบทั่วไปตามที่ได้เคยเป็นมาในอดีตนี่ล่ะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานบ้างในบางครั้งเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้การจะให้สถาปนิกมานั่งออกแบบทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์สบายๆอย่างเดียวนั้นยากแล้ว เพราะเทคโนโลยี วัสดุการก่อสร้างเดี๋ยวนี้มันก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงกันวันต่อวันเลย สถาปนิกต้องเร็วและตอบสนองต่อสิ่งพวกนี้เร็วมาก ลูกค้าไม่ใช่คนที่เดินมาแล้วให้เรานั่งออกแบบแล้วมานั่งมองว่าสวยหรือไม่สวยอย่างเดียวแล้ว เค้ารู้มากในเรื่องของรายละเอียดต่างๆ สิ่งนี้ทำให้สถาปนิกหรือการทำงานในวิชาชีพนี้ต้องรู้มากยิ่งขึ้น แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งสนุกครับ การทำงานในปัจจุบันแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะมีบทบาทเข้ามาในปัจจุบันเป็นอย่างมาก แต่มือนี่แหละสำคัญที่สุด เพราะความคิดรายละเอียดออกมาผ่านมือ มันรวดเร็ว และสื่อสารได้ทันที บางทีลูกค้าต้องการเปลี่ยนแบบของเราหน้างานตรงนั้นเลย เราต้องมีทักษะในการคิดสดตรงนั้นเลย แล้วก็เขียนรายละเอียดให้ลูกค้าได้ในทันทีเลย นี่เป็นลักษณะการทำงานในปัจจุบันที่เน้นความรวดเร็วทันใจเลย ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนนิดหน่อยแล้วต้องกลับมาคิดใหม่ มันทำให้ระบบทุกอย่างช้าไปหมด การทำงานปัจจุบัน สถาปนิกเลยไม่ต่างจากปราชญ์เลย ต้องรู้ทุกอย่างจริงๆ ความสนุกที่มากกว่านั้นคือ รู้แล้วก็ต้องรู้เพิ่มเข้าไปอีกนี่แหละครับ 
             เคยมีบางลูกค้าบางรายเหมือนกันที่วันแรกที่มาบอกว่าอยากได้คอนโดแบบนี้ คือ ทางมาร์เก็ตติ้งของบริษัทเขาบอกมาอย่างนี้ แต่ก่อนที่จะมาเจอกันหนึ่งวัน ไปดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วประทับใจมาก ก็เลยเปลี่ยนใจกะทันหันว่าอยากได้แบบตามบ้านของพระเอกในเรื่อง เราก็ต้องเข้าใจเขาทันทีว่าต้องการแบบไหน ต้องหาเรื่องนี้มาดูในทันที เพื่อจะทำแบบให้ได้อย่างที่ลูกค้าต้องการทันที เรื่องนี้เหมือนว่าเป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำคัญหรอก ก็แค่กลับมาหาข้อมูลค่อยๆคิด แต่การที่รู้เลยเดี๋ยวนั้น สามารถคุยความต้องการได้ทันที เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างรายล่าสุดนี้ก็มาเลย แบบว่าดูเรื่องแรงเงา แล้วชอบในที่ทำงานของ ผอ. ในเรื่องมาก อยากได้มาเป็นรายละเอียดในการตกแต่งโถงส่วนกลางในบ้านของเค้า เราเองต้องรู้และเข้าใจและสามารถอธิบายได้ทันทีว่าแบบที่มีในละครนั้นมาจากโรงพยาบาลทำศัลยกรรมอยู่ที่นี่ ถ้างั้นเปลี่ยนที่คุยแบบไปคุยกันที่นั่นเลย จะได้เห็นภาพไปพร้อมกัน รายละเอียดเหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่สถาปนิกปัจจุบันต้องมี เพราะนั่นจะทำให้เป็นเหตุผลว่า ทำไมเค้าถึงต้องเลือกที่จะมาออกแบบกับเรา และเห็นความสำคัญของวิชาชีพนักออกแบบอย่างเรา

และจากการทำงานที่ผ่านมาผลงานของพี่นัน เป็นผลงานแบบไหนบ้าง และมีโครงการไหนที่มีความพิเศษและอยากให้เป็นกรณีศึกษาบ้างคะ

                    ช่วง 1-2ปีในอาชีพการทำงานสถาปนิกนั้น ส่วนใหญ่แล้วพี่จะออกแบบแต่ส่วนของคอนโดครับ เนื่องจากบริษัทที่พี่ไปอยู่ในช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วจะรับออกแบบอาคารสูงครับ ก็เลยหนีไม่พ้นที่จะมีแต่คอนโดและอาคารสำนักงาน 
                       ส่วนผลงานที่น่าจะเอามาเป็นตัวอย่างในการศึกษาการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย แม้ว่าจะเป็นเวลาการทำงานที่ยาวนานแต่เป็นการทำงานที่มีคุณภาพครับ คือ โครงการสาทรสแควร์ ตรงทางโค้งเส้นนาราธิวาสน่ะครับ จำได้ว่าเป็นโครงการหนึ่งที่ใช้ทีมของสถาปนิกเยอะมาก เพราะแต่ละส่วนของอาคารนั้นมีความยากจริงๆ เป็นโครงการที่ทั้งเหนื่อยทั้งหนัก แต่สอนอะไรเพิ่มเติมในสิ่งที่สถาปนิกลืมไปได้หลายอย่างครับ
                   อย่างแรกคือ การทำงานร่วมกับวิชาชีพเพื่อนตายของเรานั่นคือ วิศวะครับ เมื่อก่อนช่วงที่เรียนมักจะมีรุ่นพี่บางคนบอกมาว่า คณะสถาปัตย์ของเรานั้นเป็นอริกับคณะวิศวะ ซึ่งในอาชีพความเป็นจริงนั้น สถาปนิกจำเป็นอย่างยิ่งครับที่จะต้องมีเพื่อนเป็นวิศวกรโยธา ยิ่งมีคู่ใจที่สามารถปรึกษางานได้แล้วยิ่งจะทำให้การทำงานแบบไหลลื่นขึ้นครับ จริงๆแล้วเป็นโชคดีอย่างมากที่สมัยที่เรียนนั้น เพื่อนของพี่เองติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ลาดกระบังเหมือนกัน ช่วงเรียนเราก็เห็นเขาคำนวณไปมา ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเท่าไหร่หรอก แม้กระทั่งตอนที่จะจบแล้ว ก็ยังคิดเลยครับว่า อาชีพสถาปนิกอย่างเราก็แค่ออกแบบ แล้วก็เขียนออกมาเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของวิศวกรอย่างเค้าที่จะต้องทำแบบคำนวณออกมาให้ได้ตามสิ่งที่เราต้องการครับ 
อาคารสาทรแสควร์
              แต่เพราะโดยอาคารสาทรสแควร์นี้แหละครับ ที่เส้นโครงสร้างแต่ละส่วนมันยากมาก และต้องหาจุดเชื่อมต่อทางการออกแบบที่ตรงกัน การทำงานกับวิศวกรเลยไม่ใช่การทำงานที่วาดแบบเสร็จแล้วส่งไป แต่เป็นการนั่งออกแบบร่วมกันเลย มันทำให้เราเห็นถึงแง่คิด ถึงข้อดีข้อเสียและความเป็นจริงในการก่อสร้าง ในการวัดแบบต่างๆ ทุกคำแนะนำแง่คิดต่างๆนั้น ทำให้รู้ได้เลยว่า การทำงานใหญ่ของสถาปนิก ไม่ใช่แค่การออกแบบ แต่เป็นนักเชื่อมความสัมพันธ์ต่างๆให้ลงตัว ไม่ว่าจะได้รับสารมาจากเจ้าของ มาเกราให้เกิดเป็นแบบที่คุยกับวิศวกรในโลกของความเป็นจริง เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆที่สวยงามและมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย 
                แต่ก็ไม่ใช่ว่าทางที่เดินจะราบลื่นขนาดที่ว่าไม่มีอุปสรรคอะไรเลย เพราะอุปสรรคนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น แบบของเราที่เราออกแบบนั้น วิศวกรไม่เห็นด้วย แล้วเปลี่ยนแบบว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ถึงจะง่าย รวดเร็ว ประหยัดและถูกต้อง ซึ่งแน่นอนถ้าเกิดว่าทำตามนั้นก็จะไม่ได้แบบที่เราคิดว่ามันต่างออกไป เลยทำให้เกิดพลังในการต้านแบบกันไปมาอยู่ตลอด จริงๆแล้วคล้ายกับว่าเป็นการต่อสู้กันเลยทีเดียว แน่นอนครับความเครียด มาเรื่อยๆเป็นระยะๆอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องประคับประคองทุกอย่างให้สามารถเดินไปได้ โดยที่มีทางออกเพื่อสนองความต้องการให้กับทุกฝ่าย 

ถ้าอย่างงั้นข้อคิดที่สำคัญในการทำงานในวิชาชีพนี้คืออะไรคะแล้วการปฏิบัติตนต่อการทำงานจะต้องทำอย่างไรบ้าง

                การทำงานเป็นนักออกแบบสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ ความอดทนครับ หลายคนอาจจะคิดว่า ความอดทนต่อการทำงานนั้น เป็นคุณสมบัติของสถาปนิกอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ตอนที่เรียนมาอดหลับอดนอนทำงานมาตลอด อึดครับ ทำงานถึกได้สบายมาก แต่นั่นเป็นคนละความหมายของคำว่า อดทนที่พี่อยากให้น้องเข้าใจครับ 

คำว่า อดทน ของพี่นันที่พูดถึงไปแท้จริงคืออะไรคะ

              ความอดทนในที่นี้คือ ความอดทนในการพูดคุยกับลูกค้าในวันที่เราออกแบบมาไม่ได้เป็นอย่างใจเขาต้องการ ความอดทนต่อการที่จะต้องเอางานที่ออกแบบของเราที่เราชอบและคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว กลับไปแก้โดยที่เรามีความรู้สึกว่าแก้ตามแบบที่ลูกค้าต้องการนั้นไม่ได้จะสวยและดีไปกว่าแบบที่เราออกแบบมาให้เค้าตอนแรก และแทนที่แบบจะจบได้เงินในส่วนนี้ ทำให้ต้องเกิดกระบวนการทำงานขึ้นใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องห่วงเลยครับ ต่อให้เป็นเทพเจ้าแค่ไหน เก่งแค่ไหน สถาปนิกเป็นอาชีพที่ต้องสร้างฝันให้ตรงกับฝันของคนที่จ้าง ไม่ใช่การสร้างฝันให้กับตัวของสถาปนิกเองครับ ดังนั้น ตั้งแต่เรียนแล้ว ถ้าแบบไม่ตรงใจเราก็ต้องแก้ไขครับ ต้องคุย ต้องอดทน ทำทุกอย่างด้วยความนอบน้อมและให้เกียรติกับลูกค้าครับ ไม่ว่าลูกค้านั้นจะแรงขนาดไหนก็ตาม ต้องเข้าใจไว้ว่าเราเป็นนักบริการอย่างหนึ่ง ดังนั้น ถ้าเราควบคุมทุกอย่างไว้ไม่ได้ แสดงว่าเรายังไม่เก่งครับ มีเพื่อนพี่หลายคนเหมือนกันออกจากอาชีพนี้ไปเลย เพราะว่าคำเพียงคำเดียวคำนี้ล่ะครับ 

งั้นจะมีแนวทางไหนไหมคะพี่พอจะแก้ปัญหาหรือให้เราเตรียมตัวก่อนจะเจอกับปัญหาบ้างคะ

             ถามว่า จะมีแนวทางการทำงานอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพและลดปัญหาข้างต้นให้ได้มากที่สุด สิ่งที่จะเอามาช่วยได้แต่ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นนะครับ เพราะต้องอย่าลืมว่า ปัญหาจะเข้ามาในชีวิตเราอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลาครับ แต่จะน้อย จะมากนั้นขึ้นอยู่กับเราจัดระบบขั้นตอนของการทำงานอย่างไร
การวางขั้นตอนการทำงานโดยจัดระบบเวลาการซ้อนทับกันของแต่ละงานให้เผื่อช่วงเวลาที่ต้องทำการแก้ไขด้วย ระบบชีวิตจะๆได้ไม่รวนครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ทำแบบไปส่งนั้น จะต้องพร้อมจัดระบบเวลาว่าถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นนั้น เราจะมีเวลาแก้ไขมันและไม่กระทบไปกับงานส่วนอื่นๆหรือไม่ เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่น่าจะมีสถาปนิกหรือบริษัทไหน ทำงานไปทีละโครงการโดยที่ไม่มีการซ้อนกันแต่อย่างใด 
การวางขั้นตอนการทำงานโดยจัดระบบเวลาการซ้อนทับกันของแต่ละงานให้เผื่อช่วงเวลาที่ต้องทำการแก้ไขด้วย ระบบชีวิตจะๆได้ไม่รวนครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ทำแบบไปส่งนั้น จะต้องพร้อมจัดระบบเวลาว่าถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นนั้น เราจะมีเวลาแก้ไขมันและไม่กระทบไปกับงานส่วนอื่นๆหรือไม่ เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่น่าจะมีสถาปนิกหรือบริษัทไหน ทำงานไปทีละโครงการโดยที่ไม่มีการซ้อนกันแต่อย่างใด 
               การวางขั้นตอนการทำงานโดยจัดระบบเวลาการซ้อนทับกันของแต่ละงานให้เผื่อช่วงเวลาที่ต้องทำการแก้ไขด้วย ระบบชีวิตจะๆได้ไม่รวนครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ทำแบบไปส่งนั้น จะต้องพร้อมจัดระบบเวลาว่าถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้นนั้น เราจะมีเวลาแก้ไขมันและไม่กระทบไปกับงานส่วนอื่นๆหรือไม่ เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่น่าจะมีสถาปนิกหรือบริษัทไหน ทำงานไปทีละโครงการโดยที่ไม่มีการซ้อนกันแต่อย่างใด 
                  และทุกการเก็บ File ในขั้นตอนการทำงาน ก่อนที่จะเสร็จ Final แบบถึงมือลูกค้านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแบบขั้นตอนออกมาเป็นส่วนย่อยต่างๆเสมอ เพราะเมื่อลูกค้าปรับเปลี่ยนจุดตรงไหนบ้างจะทำให้อยู่ในทางหรือระบบที่เราวางไว้อยู่แล้ว จะได้ง่ายต่อการทำงานและไม่เครียดครับ เมื่อเวลาที่แบบนั้นเกิดปัญหา อ่านหนังสือเยอะๆตลอดการทำงานทุกอาทิตย์ เราต้องเพิ่มความรู้ทางวิชาชีพเข้าตัวเองอยู่เสมอครับ โดยเฉพาะในส่วนของการก่อสร้างและกฎหมายการก่อสร้างเพราะนี่เป็นจุดอ่อนของสถาปนิกหลายคนในปัจจุบัน พอเราออกแบบโดยที่ไม่รู้กฎหมายนั้น มันจะสร้างความเซ็งเมื่อเวลาที่เราไปส่งแบบให้กับ เขตที่เราต้องการก่อสร้าง ละแน่นอน ลูกค้าเขาไม่รู้อะไรตรงนี้เท่าไหร่ และที่สำคัญกฎหมายเหล่านี้นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนเร็วเหมือนพวกเทคโนโลยีขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ว่าเจ้ากฎหมายที่ว่านี้ มันจะชอบมาเปลี่ยนแบบแอบๆครับ ทำให้เราหงุดหงิดว่าเปลี่ยนตรงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนว่าเป็นปัญหาเล็ก แต่ถ้าเป็นการออกแบบอาคารใหญ่แล้วเราต้องมาเปลี่ยนตรงจุดเล็กๆแล้วส่งผลต่อเนื่องไปยังจุดต่างๆอย่างต่อเนื่อง อันนี้อาจจะขำไม่ออกครับ

พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับ จรรยาบรรณวิชาชีพ และคิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมคะ

              ปัจจุบันคำๆนี้แหละครับ คำเดียวทำให้เกิดประเด็นมากมายในวงการการออกแบบ ด้วยความที่คำๆนี้มันเข้าใกล้กับคำว่า "อีโก้" เหลือเกิน เลยทำให้เกิดประเด็นทะเลาะและทั้งเห็นใจนักออกแบบเกิดขึ้นตามกระทู้ต่างๆในโลกอินเตอร์เน็ต จรรยาบรรณในทางวิชาชีพนั้น เป็นสิ่งที่สถาปนิกเราต้องทำความเข้าใจจริงๆครับ ไม่ใช่ว่าแค่อ่านแล้วเอาความเป็นตัวเราเองเข้าไปอยู่ด้วย อย่างนี้ก็เหนื่อย ยกตัวอย่างเช่น อันนี้เป็นอันที่เคยนั่งๆกดคอมอยู่แล้วเห็นขึ้นมาเลย ยังงงๆอยู่เลยว่ามันเป็นประเด็นขึ้นมาได้ยังไง กฎของจรรยาบรรณที่ว่า "ผู้ประกอบวิชาชีพต้องไม่กระทำการใดๆอันอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ" พอมันมีคำว่า เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ เท่านั้นล่ะครับ กลายเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันไปต่างๆนานาว่า มีสถาปนิกบางคนรับงานออกแบบด้วยราคาที่ต่ำกว่าสถาปนิกอีกคน เป็นการตัดราคากันเอง จากนั้นก็ทำการออกแบบได้ไม่ดีเท่าคนแรก การกดราคาค่าออกแบบกันเองเพื่อแย่งชิงงานมานั้น เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นพอกดแล้ว กลับได้คุณภาพงานที่ไม่ดี มันกลายเป็นว่า ผู้ที่มาว่าจ้างเสียความรู้สึกไปกับวิชาชีพนี้ไปเลย เหมือนกับว่า ถ้าเกิดว่าทำงานอย่างนี้แล้ว สู่ไปเอาแบบบ้านตามนิตยสารหรือว่าให้เด็กช่างที่เรียนงูๆปลาๆออกแบบให้ก็ได้ ไม่ต้องเสียราคาแพงจ้างสถาปนิกคนนั้นหรอก เจ้าของก็จัดการพิมพ์ระบายความในใจของตัวเองลงทางอินเตอร์เน็ตเลยครับ คราวนี้ก็มีสถาปนิกอีกหลายคนเข้ามาผสมโรงเลย บอกว่า ค่าแรงของวิชาชีพนี้มีมาตรฐานของตัวมันเองอยู่แล้ว สถาปนิกคนนั้นขายศักดิ์ศรีของวิชาชีพความเป็นสถาปนิกเพื่อรับงานในราคาถูก และเมื่อทำออกมาแล้วไม่ดี อาจจะไม่ใช่ว่างานไม่ดี แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของต้องการแบบที่เกินมาตรฐานฝีมือหรือค่าจ้างที่สถาปนิกคนนั้นมีต่างหาก นั่นเป็นเพราะผู้ว่าจ้างจ่ายเงินในราคาถูก เลยไม่ได้ตัวสถาปนิกที่มีฝีมือ ดังนั้น เจ้าของก็ต้องยอมรับงานที่คุณภาพตามตัวเงิน คราวนี้เลยกลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันใหญ่เลยครับ ว่าแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้ายอมจ่ายเงินตามมาตรฐานที่ทางสมาคมสถาปนิกกำหนดแล้ว คุณภาพของตัวงานจะได้ดีกว่าคนที่รับงานต่ำกว่าราคานั้น การที่รับงานราคานั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเค้ามีทีม มีแบบที่ทำทางนี้อย่างชำนาญแล้วก็เป็นได้ เลยสามารถคิดราคาได้ถูก แค่เห็นแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วล่ะครับ จรรยาบรรณของสถาปนิกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากครับ ทุกจุดสามารถเอาเข้ามาถกเถียงได้หมดเลย แล้วแต่ว่ามุมมองในปัจจุบันหรือสภาพแวดล้อมนั้นเป็นเช่นไร แล้วเราสามารถอยู่ตรงกลางได้แค่ไหน
             ส่วนคำถามที่ว่า คิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่สถาปนิกในอนาคตต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะอย่างที่พี่เห็นปัจจุบันนั้น น้องๆที่จบใหม่จะเน้นเหลือเกิน เพราะเข้าใจว่า การที่บ้านจะเย็นได้ หรือที่มีความเรียกเท่ห์ๆกันว่า ออกแบบๆ Sustainable Architecture หรือการออกแบบสถาปัตยกรรมยั่งยืนนั้น ก็แค่การใช้วัสดุที่ไม่เป็นภัยต่อธรรมชาติ จากนั้นก็พยายามสร้างกระบวนการที่ทำให้เกิดความร่มเย็นขึ้นในบ้าน ก็อาจจะโดยการใส่ต้นไม้เข้าไป ยิ่งใส่เยอะก็ยิ่งร่มรื่น โดยที่แท้จริงแล้ว ยังไม่ได้เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าต้นไม้แต่ละต้นมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมรอบข้างต่างกันอย่างไร รู้แค่ว่ามันถูกแบ่งประเภทอยู่ในหนังสืออยู่แล้วว่าอันไหนเป็นไม้พุ่ม อันไหนเป็นไม้ยืนต้นเพื่อให้ร่มเงา รู้เท่านั้นก็จัดเลย ซึ่งความหมายที่แท้จริงนั้น เราอาจจะไม่จำเป็นต้นยัดทุกอย่างเข้าไปขนาดนั้น สถาปัตยกรรมเป็นสิ่งมีชีวิตครับ การที่เค้าจะสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนนั้น เราต้องเข้าใจระบบก็ใช้ชีวิตของเค้าก่อนครับว่า เค้าชอบอะไร การแบ่งพื้นที่เกิดความสัมพันธ์กันตรงจุดไหน แล้วค่อยใส่เทคโนโลยีเข้าไปบ้าง ใส่ลมทิศธรรมชาติเข้าไปเติมเต็มบ้าง ซึ่งบางส่วนตัวสถาปัตยกรรมเอง ต้องการเปิดโล่งเพื่อรับแสงแดดบ้าง หายใจได้บ้างจากลม กระแสน้ำที่ไหลผ่านเกิดเสียงน้ำแค่ไหน จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมไว้ในอนาคตครับ เพราะมนุษย์ยิ่งนับวันเราจะยิ่งโหยหาธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องห่วงเลยครับ งานออกแบบในอนาคต จำเป็นจะต้องมีส่วนนี้เข้าไปแน่นอน 

พี่คิดว่า"สถาปนิกรุ่นใหม่ที่จบลาดกระบัง"มามีคุณภาพอย่างไรแล้วพี่ต้องการให้ภาควิชาปรับปรุงลักษณะบัณฑิตออกมาให้เป็นอย่างไร ในแนวทางไหนหรือป่าวคะ

                 โดย 1-2 ปีที่ผ่านมายอมรับว่า ยังไม่ได้มีโอกาสทำงานกับน้องที่จบใหม่จากลาดกระบังเลย แต่ก่อนหน้านี้ ก็โอเคครับ อย่างแรกที่พี่คิดว่ามันเป็นเสน่ห์ของลาดกระบังเลยแล้วไม่อยากให้มันเลือนหายไปเลยคือ ความน่ารัก อดทน ประมาณว่า ไม่กลัวงานหนัก งานควาย (ขอโทษทีใช้คำไม่สุภาพ) ซึ่งนี่เป็นลักษณะเด่นเหมือนกันครับ ที่พี่คิดว่ามันดีนะ จบมาเนี่ย เจออะไรต้องลุยอย่างเดียวเลย ทุกอย่างเป็นครูไปหมด อย่าไปคิดมากครับว่าทำงานนั้นงานนี้แล้วมันไม่ได้อะไรกับตัวเองเลย คิดอย่างนั้นทำอะไรก็ยาก พี่เองเคยลองใจ น้องที่จบใหม่จากมหาลัยชั้นนำของประเทศไทยมหาลัยหนึ่งเหมือนกัน โยนงาน Present เขียนหญ้าของโครงการขึ้นมา โดยที่บอกน้องคนนั้นว่า พี่ต้องการให้เขียนหญ้าทีละเส้น 

ตัวอย่างการเรนเดอร์ต้นไม้และต้นหญ้าด้วยมือ
             
            พอพี่บอกเท่านั้นแหละครับ น้องคนนั้นร้องโอยเลยทีเดียว บอกว่าทำๆไม ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อะไรเลย เอาไป Print ใน Com แล้วเข้ามาตัดต่อก็ได้ ได้ผลออกมาเหมือนกัน ครับพี่เองก็เข้าใจว่ามันก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันนั่นแหละ แต่พี่กำลังจะต้องการฝึกความละเอียดอ่อนและความอดทนในการทำงานของน้องคนนั้นอยู่ เชื่อมั้ยว่าแค่เปลี่ยนมุมมอง งานทุกงานมันมีประโยชน์ในแง่ของมันหมด การเขียนหญ้าทีละเส้นเป็นเรื่องยากนะครับ เพราะหญ้าทุกเส้นแต่ละเส้นนั้นถ้าเกิดว่าเราเขียนน้ำหนักที่เท่ากันทั้งหมด หญ้ามันก็จะออกมาไม่สวย แต่ละเส้นที่ขึ้นมานั้น ต้องดูด้วยว่าเราจะปัดปลายมันขึ้นมายังไงให้ดูมีความนุ่มที่สุด เพราะมันคือความเป็นธรรมชาติ แถมถ้าเรามองรายละเอียดเพียงแค่ต้นหญ้าต้นเดียวเท่านั้น จะกลายเป็นว่าในความละเอียดอ่อนที่เราใส่ลงไปนั้น เราเองต้องห้ามลืมมองภาพใหญ่ที่เกิดขึ้นด้วย เพราะแต่ละหย่อมนั้น อาจจะมีองค์ประกอบรอบข้างมาทำให้น้ำหนักของหญ้าในแต่ละพื้นที่นั้นไม่เท่ากัน มันเหมือนกับฝึกให้เราทำทุกสิ่งทั้งเรื่องภาพรวมและรายละเอียดเล็กน้อยไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาปนิกแต่ละคนต้องมีในการออกแบบเสมอครับ พร้อมทั้งการเขียนหญ้าให้เสร็จนั้น เปรียบได้กับการออกแบบที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ถ้าพื้นที่มันกว้าง เราต้องอดทน พยายามสร้างมันด้วยความละเอียด อย่าข้ามขั้นตอนเยอะนัก นี่แหละคือ สิ่งที่น้องๆที่จบใหม่น่าจะเรียนรู้ไว้ครับ

ขอบพระคุณมากค่ะพี่ ในคำแนะนำและข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เข้าใจในวิชาชีพนี้มากขึ้น

ในคำถามสุดท้ายนี้นะคะ ขอถามถึงชีวิตในระหว่างการเรียนที่ลาดกระบังค่ะ มีเรื่องใดที่น่าจดจำ แล้วบรรยากาศการเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ แล้วพี่คิดว่าทุกวันนี้มีอะไรแตกต่างไปบ้างคะ

            สมัยที่เรียนบรรยากาศที่เข้ามาจะต่างจากสมัยนี้มากครับ แค่ถนนหนทางก็ต่างกันแล้ว การจะมาลาดกระบังได้มาได้ 3 ทาง คือ รถส่วนตัว, รถเมล์ ซึ่งตอนนั้นมีแค่สองสายที่เข้ามาในเมืองเอง และสุดท้ายคือ รถไฟไทย ที่มีลักษณะเด่นเป็นเอกลักษณ์ตรงที่ถ้าเกิดว่าเรามาเร็ว ตามเวลาในตาราง รถจะวิ่งมาสาย แต่ถ้าเกิดว่าเรามาสาย มันจะมาตรงเวลาตามตาราง ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ไม่มีในโลกนี้ 
ปีที่พี่มาเรียนนั้น จำได้ว่าเกือบทั้งรุ่นต้องมาอยู่หอกันหมด ไม่ใช่ว่าเราต้องการมาอยู่ขนาดนั้นครับ เพียงแต่ว่าการเดินทางมันยากลำบากเกินกว่าที่จะเรียนออกมาได้ดีน่ะ และยิ่งช่วงตอนนั้น จำได้ว่า ที่คณะอนุญาติให้นักศึกษาอยู่ค้างกันได้ อีกทั้ง อาจารย์เองก็อยู่หอพักเหมือนกัน ทำให้ก็สอนกันไปแบบว่านอกเวลาด้วย 
               ช่วงเวลากลางคืนที่คนอื่นคณะอื่นต่างกลับบ้านไปแล้ว แต่ของเราเหมือนว่าตอนเย็นทุกคนแยกย้ายกันไปอาบน้ำ กินข้าวที่หอพักของตัวเอง จากนั้นสามทุ่มก็แวะกันมาที่คณะมานั่งทำงานกัน บางคืนอาจารย์ที่ลาดกระบังเองเปิดห้องเรียนสอนกันต่อเลยก็มี จำได้ว่าเป็นบรรยากาศที่โคตรจะเรียนกันเลย เราไม่รู้เดือนไม่รู้ตะวันเลย สมัยนั้น Internet มีแล้ว แต่ว่าเราไม่ได้ Connect กับโลกภายนอกขนาดนั้น ถ้าจะเล่นก็คือต้องตั้งใจเข้าไปนั่งเล่นจริงๆเลย เพราะขนาดมือถือเองยังมีนับคนในรุ่นได้เลย ไม่มีมากหรอก เป็นของหายากและแพงครับ มันทำให้การใช้ชีวิตเรียนอยู่ด้วยกัน วิถีมันต่างจากสมัยนี้อยู่เยอะมากพอสมควร  
         

พี่พอจะมีภาพบรรยากาศในการเรียนในขณะนั้นบ้างรึป่าวคะหรือพอจะเล่าแบบคร่าวๆได้มั๊ยคะ

             เรื่องของรูปภาพนั้น หายากมากครับ เพราะว่าสมัยนั้นเป็นกล้อง Film กันหมด ยังไม่มีหรอก Digital สมัยนั้นความทรงจำต่างๆของพี่สมัยนั้นเลยเป็นภาพในหัวซะมากกว่า สมัยนั้นจำได้ว่า เราเข้ามาเรียนกันด้วยความมุ่งมั่นมากทั้งรุ่นเลย ความยากเก่ง เรียกได้ว่ากระหายอยากเก่งมันมีมากจนเกิดเป็นการแข่งขันกันในรุ่น แต่เป็นการแข่งแบบที่ทุกคนพยายามที่จะสร้างให้งานมันออกมาดีที่สุดน่ะครับ ยิ่งเรียนยิ่งมันส์ พี่จำได้ว่าเรียนปี1 ผ่านไป เรามีความรู้สึกว่าเราทำงานกันหนักมาก เสาร์ อาทิตย์ไม่ได้กลับบ้านเพราะว่าพยายามทำงานให้เวลากับมันเพื่อที่จะได้งานออกมาให้ดีที่สุด 


              จำได้ว่าช่วงที่จบปี 1 นั้น เราต่างมีความรู้สึกว่า เมื่อไหร่จะเก่งขึ้นกว่านี้นะ พยายามแล้วพยายามอีก ก็ไม่เก่งในความรู้สึกเราซักที แต่พอปิดเทอมขึ้นปี2 เท่านั้น ได้มีโอกาสไปเดินดูงานของมหาลัยเอกชนที่อื่น ดูไปก็เกิดคำถามอีกแล้วว่า นี่มันงานของปีโตๆแน่นะ แล้วเป็นงานที่ได้โชว์ด้วย แต่ทำไมเอามีความความรู้สึกว่า งานมันยังไม่เห็นดีเลย เราว่าขนาดเราซึ่งยังไม่ดี ยังน่าจะทำออกมาได้ดีกว่าเลย นี่ไม่ใช่ดูถูกนะ เพียงแต่ว่าสมัยนั้น เราเรียน เราบ้างานจนเราไม่รู้เลยว่า เราเจาะงานเข้าไปลึกกว่าชาวบ้านแล้ว ซึ่งนี่พี่คิดว่าน่าจะเป็นแง่ดีของสมัยนั้นนะ ความอดทน ความมุ่งมั่นที่อยากจะเก่งมันมีมากเหลือเกิน น่าจะเป็นเพราะสมัยนั้นการสอบเข้าลาดกระบังมันไม่ได้มีความรู้สึกเทียบเท่าสมัยนี้ว่าสอบได้แล้วอะไรประมาณนั้น ความเป็นลาดกระบังสมัยพี่ จำได้ว่าผู้ใหญ่หลายคนน่าจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไม่ใช่มหาลัย มันเป็นสถาบันเทคโนโลยี 
              การเข้าไปของทุกคนลึกๆแล้ว มันเหมือนกับต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างกัน ต้องการโดดเด่นกัน มันเลยนำพาไปสู่พลังแห่งการเรียน บวกกับห้องพักครูของอาจารย์สมัยนั้นเรียกได้ว่าแทบจะนอนค้างที่คณะกับพวกเราเลย (สมัยนี้พี่ไม่รู้นะว่าเป็นยังไง) แต่สมัยของพี่อาจารย์เป็นทีมที่อบอุ่นมากครับ เพราะบางคนสอนจนต้องค้างไปกับเราเลย แต่เห็นน้องสมัยนี้แล้ว พลังความมุ่งมั่นส่วนใหญ่มันจะอยู่ตอนที่พยายามจะสอบเข้าให้ได้เท่านั้น ช่วงเวลาที่จะสอบเข้านะ ขยันสุดๆ อดหลับอดนอนอ่านหนังสือ สร้างงานอย่างเต็มที่ แต่พอหลังจากที่เข้าไปเรียนแล้ว ล่าสุดได้คุยกับอาจารย์ที่ลาดกระบังท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า สมัยนี้น้องๆหลับในห้องเรียนกันเป็นว่าเล่น พี่เองก็ยังแซวกับอาจารย์อยู่เลยครับว่า จริงๆแล้วสมัยที่พี่เรียนก็หลับกันนะ ซึ่งก็อาจจะเป็นเอกลักษณ์ของคณะนี้ไปแล้วที่ห้องเรียนกับห้องสมุดคือ ห้องที่มักมีเด็กสถาปัตย์พยายามที่จะอ่านหนังสือสุดท้ายก็ไม่รอดต้องไปนั่งหลับที่นั่น
               แต่อาจารย์บอกว่า สมัยนั้นถ้าเกิดเป็นวิชานอกคณะที่ต้องคำนวณเยอะๆ หลับอันนี้ไม่ได้อะไร แต่สมัยนี้วิชาในคณะที่มีความสำคัญกับเขาดันมาหลับ หรือบางทีเชิญวิทยากรที่มีเกียรติมาบรรยายสิ่งที่มีประโยชน์กลับกลายเป็นว่ามาหลับในห้องเรียนโชว์เค้าซะอย่างนั้น ซึ่งเป็นภาพที่ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งอันนี้พี่เห็นด้วยเลย จะหลับต้องเลือกหลับครับ สิ่งไหนที่มีความสำคัญ การให้เกียรติตั้งใจฟังคนสอนนั้นมีความสำคัญมาก ก็อยากฝากไปถึงน้องๆปัจจุบันในเรื่องนี้ด้วยครับ
              เมื่ออาทิตย์ก่อนไปเยี่ยมที่ลาดกระบังมา ถนนหนทางดูเจริญข้นอย่างมาก มีร้านเหล้าเต็มไปหมดเลย แล้วเวลาที่ขับผ่านสองข้างทางเข้าไปตรงเกกีนั้น เต็มไปด้วยร้านอาหารเต็มไปหมด ที่สำคัญร้านเหล้าเยอะมาก แล้วสองข้างทางมีน้องๆนั่งกินกันเต็มไปหมด Zone ที่ลาดกระบังตอนนี้พี่ว่ามันเหมือนกับว่ามันมีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะน่ะ ต่างจากสมัยที่พี่เรียนซึ่งไม่มีเลย จำได้ว่าร้านเหล้าจะมีอยู่แค่ 1-2 ร้านเท่านั้น การที่จะไปเดินห้างทั้งที ต้องตั้งใจอย่างมาก เพราะสมัยนั้นห้างที่ใกล้ที่สุดคือ ซีคอน สแควร์ ส่วน Paradise Park นั้นสมัยพี่เป็นเสรีย์ เซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีอะไรเลย เป็นห้างแนวอารมณ์ตลาดนัดบ้านๆเท่านั้นเอง 


              อาจจะเป็นเพราะจุดนี้หรือเปล่าที่การคิดงานของเรา เลยอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับโรงงานตัดไม้ โรงเลื่อย หน้างานตาม Site งานต่างๆที่ติดตามอาจารย์ไปดู เรื่องการเลิกเรียนแล้ว ไปเดินห้างอะไรทำนองนั้นมันเลยไม่มีน่ะ เพื่อนพี่เองหลายคนพูดอย่างนี้เหมือนกัน แต่พี่ว่ามันก็มีทั้งแง่ดีและแง่เสียต่างกันล่ะครับ
              ส่วนกิจกรรมในคณะ พี่ว่าก็ไม่ต่างกับสมัยนี้เท่าไหร่นะ คล้ายกันนั่นหละครับ มีรากฐานวัฒนธรรมความเป็นมาที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เท่าที่ติดตาม กิจกรรมก็สนุกเหมือนเดิม เฮฮาตามประสาครับ น่ารักดี



  ขอบคุณพี่นันนะคะที่สละเวลามาเล่าประสบการณ์พร้อมทั้งให้ความรู้และข้อคิดที่เราสามารถนำไปพิจารณาและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งทำให้รู้สึกดีใจมากที่ได้รู้จักกับสถาปนิกรุ่นพี่ลาดกระบังที่เรานับถือและเคารพตลอดมาแบบพี่คนนี้เลยค่ะ 
                                                               
                                                                                               นส.ทอรุ้ง โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ 52020034

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

professional practice





          หากจะถามว่าคำว่า “สถาปนิก”เข้ามาในชีวิตได้อย่างไร คงต้องกล่าวถึงคุณลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติกัน ห้องทำงานของเขามีกระดาษที่เต็มไปด้วยลายเส้น เวลาไปไหนมาไหนจะพกไอเจ้ากระบอกเก็บกระดาษหรือที่เพิ่งรู้จักว่ามันมีชื่อว่า “ซูม” ด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง เห็นแล้วดูเท่ชะมัดเลย สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งแรกที่รู้จักกับคำว่า”สถาปนิก” ”อยากจะเป็นแบบนี้ตอนแก่บ้างจัง”  นี่ก็เป็นความคิดแรกที่ทำให้ตั้งใจเลือกเส้นทางนี้ และหลังจากที่ตัดสินใจจะเดินหน้าแล้ว ขณะที่อยู่มัธยมปลาย การแสวงหาหนทางเดินเพื่อไปสู่ความฝันก็เริ่มต้นขึ้น


เมื่อมันเริ่มมาแล้ว หนทางที่จะทำ คือ การหาความรู้ ทำความรู้จักกับความฝันเราให้มันชัดเจน มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เห็นในร้านหนังสือ หมวดติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเล่มที่น่าสนใจที่สุด คือ เล่มสีดำสนิท หนาๆ ด้านหลังเขียนว่า โดย นันทวัชร์ ชัยมโนนาถ แถมมาพร้อมเบอร์สถาบันติวที่มีชื่อว่า A-LE PAINT เรียกได้ว่าที่นี่แหละที่ทำให้รู้จัก และ ลึกซึ้งกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ว่าสอนอะไร ทำอะไร เป็นอย่างไร จากการเล่าเรื่องต่างๆของพี่นัน ทำให้เราสร้างจินตนาการไปไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “สถาปัตย์ ลาดกระบัง”
          ซึ่งการจะเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เริ่มจากการสอบตรง ถึงจะสมัครสอบไปหลายที่ แต่ที่เดียวที่ตั้งใจที่สุด และคาดหวังที่สุดคือ  “ลาดกระบัง” แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็เกือบไม่ได้เป็นอย่างหวัง เพราะสอบไม่ติด แม้จะสอบติดในหลายๆที่ แต่เมื่อตั้งใจแล้ว เลยสละสิทธิ์ทุกที่ เพื่อจะพยายามเข้าในที่ใฝ่ฝัน ไม่มีคำว่า “ยอมแพ้” จนมาถึงการสอบแอดมิดชั่น แน่นอนว่า คณะที่เลือกเป็นอันดับหนึ่งคือ “สถาปัตย์ ลาดกระบัง” ตอนประกาศผล วันที่นั่งเลื่อนจอคอมพิวเตอร์  ลุ้นจนแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นผลเท่านั้นแหละ น้ำตาแห่งความสุขก็ไหลทันที นี่แหละคุ้มค่ากับที่พยายาม นี่แหละสมดั่งใจเสียที ทำให้รู้สึกว่า “ความพยายาม และความมุ่งมั่นแน่วแน่ในความฝัน เมื่อมันผสมกัน เราก็จะประสบความสำเร็จได้จริงๆ หลังจากนั้นจุดเริ่มต้นของชีวิตจุดใหม่ก็เริ่มขึ้น
         


        ชีวิตปีหนึ่ง เป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัว ปรับตัวกับสิ่งที่เข้ามาใหม่ในชีวิต เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ที่อยู่ใหม่ และการเรียนแบบใหม่ การปรับตัวเข้าหากับสังคมที่นี่เป็นอะไรที่ไม่ยากนักหรอก เพราะคนที่อยู่ที่นี่  ที่เข้ามาเรียนด้วยกัน เหมือนคนที่มีความต้องการ ความฝันในการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างคล้ายกัน การที่เราจะสนิทกันมันไม่ยากเลย การใช้ชีวิตของพวกเราที่เรียกว่า “เพื่อน” ทุกคนต้องอยู่ห่างจากบ้าน มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำงานและเรียนรู้การเรียนแบบใหม่ไปด้วยกัน เรียนรู้จากอาจารย์เรียนรู้จากรุ่นพี่ สิ่งที่ทุกๆคนให้เรามันน่าซาบซึ้งใจ ทุกอย่างมันหล่อหลอมให้รู้จักและผูกพัน ถึงที่นี่จะไม่ได้เป็นเหมือนที่เคยคิดมากนัก แต่ความคิดที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ “นี่แหละที่ต้องการ”
           



               ชีวิตปีสองเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นทำงานหนักอย่างจริงจัง ตอนปีหนึ่งวิชาที่คิดว่าหนัก งานที่คิดว่าโหด กลายเป็นของง่ายไปเลย เมื่อต้องเจอกับของจริง งานต่างๆที่เข้ามาพร้อมๆกัน ให้ตายสิ งานไม่เคยหนักแบบนี้มาก่อนเลย แต่สิ่งที่เรียนรู้จากชีวิตปีสอง คือ บุคคลรอบตัวเรา คนที่หวังดี คอยอยู่เคียงข้างมีมากจริงๆ และสิ่งที่เรียนรู้ ก็ได้ทำให้ตัวเราพร้อมจะอยู่เพื่อคนอื่นได้เหมือนกัน สิ่งที่น่ารักมาก คือ เวลาที่เรา “สถ.คึก” ทำงาน เราเชื่อเสมอว่าเมื่อไหร่ที่เราตั้งใจทำงานร่วมกันมันจะสนุกและสำเร็จ งานอะไรอะไรเราก็ผ่านมาด้วยดี ค่ายติว หน้างาน มีทติ้ง ถึงคนอื่นบอกไม่ดีบ้าง แต่เราทุกคนก็พร้อมจะให้กำลังใจและสนับสนุนให้ก้าวต่อไปด้วยกัน
           




          
      ผ่านเข้ามาถึงช่วงชีวิตที่รุ่นพี่ว่ากันว่าเป็นปีที่สบาย “ช่วงชีวิตปีสาม” มันสบายจริง เรื่องงาน แต่ชีวิตปีนี้มันมีสิ่งที่น่าสนใจมีเวลาว่างให้ได้ลองทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นอีกครั้งที่ความร่วมมือของเรา สร้างสรรค์งานที่เป็นความภาคภูมิใจของชั้นปี “ART STREET” การทำงานร่วมกันมันน่าประทับใจจริงๆ ความน่าสนใจของปีสามมันไม่ได้จบลงแค่นั้น หากพูดถึงมุมมองการออกแบบ โครงการต่างๆที่ได้ทำ มันเปลี่ยนแปลงไปมากจากปีสอง มันมีความแปลกใหม่ สามารถดึงความคิด และพัฒนาได้สนุกมากยิ่งขึ้น



            และปีนี้ “ชีวิตปีสี่” ปีที่ใครๆก็ว่าหินสุด โหดสุด ผ่านยากสุด แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น เทอมหนึ่งที่ผ่านมา เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็น ทุกๆวัน ทุกๆคืน การทำงานไม่ได้หยุด มันมากในทุกๆวิชา แต่ตอนนี้ผ่านมันมาแล้ว เราผ่านมาครึ่งทางแล้วดีใจจัง อาจมีคนที่คอยบอกว่านี่เป็นเรื่องเด็กๆ ชีวิตจริงยากกว่านี้มาก แต่ที่เราคิดคือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขกับช่วงเวลานี้ให้มาก การประสบความสำเร็จไม่ว่ามากหรือน้อย สำหรับเราแล้ว ทุกอย่างน่าดีใจมากที่สุด และในปีสี่เทอมสองนี้ก็เช่นกัน การที่จะผ่านแต่ละอย่างไปได้ เราก็จะผ่านไปด้วยความสุข


 แต่เมื่อมองถึงอนาคต ปีหน้าก็เป็นช่วงเวลาของ “THESIS” ก็เป็นอนาคตที่วางแผนไว้บ้างแล้ว คิดว่าจะทำเกี่ยวกับ “RENEWABLE ENERGY EDUCATION CENTER” หรือ ศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ที่เลือกทำเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สนใจมาตลอด เป็นเรื่องที่พยายามหาข้อมูล และเรื่องเกี่ยวกับพลังงานในปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเพราะวิกฤติการณ์ภัยธรรมชาติและวิถีชีวิตที่มีแต่ทำลาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน หรือ บุคคลทั่วไปเพื่อการพัฒนาวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน
          
                    หลังจากที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับวิชาการประกอบอาชีพสถาปนิก ทำให้ความเข้าใจที่เคยมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย บางทีสถาปนิกไม่ใช่คำนิยามของอาชีพ และความสนุกสนาน อย่างที่ละครทั่วไปแสดงให้เห็น อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องมีความรอบคอบ มีไหวพริบ มีความกระตือรือร้นที่จะค้นหาและทำความเข้าใจกับสิ่งรอบตัว หรือ สิ่งแวดล้อม อย่างหนึ่งที่หลังจากการเรียนแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดมากที่สุด คือ ความรับผิดชอบ ที่สถาปนิกจะต้องมีทั้งต่อตัวโครงการ ต่อคนที่ทำงานด้วย ยังต้องมีความรับผิดชอบต่อโลก ต่อสิ่งแวดล้อมด้วย การที่จะจบการศึกษาจากสถาปัตย์ ลาดกระบัง เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก หากจะถามว่าจบแล้วจะทำอาชีพนี้หรือไม่ ยังไม่อาจทราบได้ แตถ้าถามถึงความตั้งใจตอนนี้ ก็อยากจะย้อนกลับไปหาสิ่งที่ทำให้เริ่มเรื่องทุกอย่างนี้มา คือ ความฝันที่จะเป็นอย่างนั้น คนที่เท่แบบนั้น ลองมองถึงความตั้งใจที่ผ่านมาทั้งหมด “วิชาชีพสถาปนิก” ยังคงเป็นอาชีพที่อยากทำอยู่ดังเดิม โดยส่วนตัวชอบที่จะเป็นคนกำหนดเวลาที่จะทำงานเอง ไม่อยากจะเป็นพนักงานที่จะต้องอยู่ในเครื่องแบบเดิมๆ นั่งโต๊ะเดิมๆ และอาจจะทำงานแบบ FREELANCE จัดเวลาของตัวเอง อาจมีเวลาได้นำในสิ่งที่ตัวเองต้องการในแบบอื่นๆนอกเหนือจากวิชาชีพได้อีก
           

 สถาปนิกที่น่าสนใจและเรียกได้ว่าเป็นสถาปนิกต้นแบบ คือ Frank Lloyd Wright อาจเพราะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวิชาชีพนี้ที่เรารู้จักเป็นคนแรก มีผลงานที่น่าประทับใจ สถาปัตยกรรมแต่ละชิ้นที่เป็นผลงานของเขา มีความโดดเด่นในหลายๆด้าน แต่ด้านที่ทำให้ผลงานของเขาเป็นที่น่าจดจำและมีชื่อเสียง คือ ความกลมกลืน และไหลลื่นของสถาปัตยกรรมกับสิ่งแวดล้อม FUNCTION การใช้งานของอาคาร ที่สอดคล้องกับวิถี หรือ จุดประสงค์ของผู้ใช้งาน

           



         หนึ่งในผลงานที่น่ายกย่อง ก็เป็นงานที่ใครๆก็รู้จักในชื่อ “บ้านน้ำตก” บ้านหลังนี้ น่ายกย่องจริงๆ เนื่องจากองค์ประกอบทุกอย่างที่มารวมกันเป็นบ้านหลังนี้ เมื่อผ่านการศึกษาเกี่ยวกับแนวความคิดมาแล้ว ทำให้เห็นถึงรายละเอียดที่ซ่อนอยู่มากมายการวางผังพื้นของแต่ละส่วนที่เกี่ยวข้องกัน การวางตัวอาคารที่อยู่ท่ามกลางน้ำตก แม้แต่การออกแบบภายในเฟอร์นิเจอร์ มันดูเข้ากันไปหมดจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่สถาปัตยกรรมที่มีความหวือหวา มีความอลังการ ตระการตา แต่ด้วยความกลมกลืนนี่แหละที่ทำให้บ้านหลังนี้ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามและอมตะอยู่ตลอดมา
           
            เมื่อถึงเวลาที่ต้องฝึกงานในภาคฤดูร้อนนี้ บริษัทที่คิดว่าจะไปทำจะเป็นบริษัทที่เป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่มาก เนื่องจากอยากจะเข้าไปเพื่อรับเอางานที่เราเข้าถึงได้ สามารถศึกษาการทำงานแบบมืออาชีพได้อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าขนาดองค์กรใหญ่เกินไป ขัดความจำกัดที่เราจะเข้าไปในเนื้องานก็จะต่ำลง บางทีเราอาจจะสบายแต่ไม่ได้อะไรเลย จึงไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น
                        

เนื่องจากกำลังจะถึงวันพ่อแล้ว เลยอยากจะกล่าวถึง คนที่ซึ่งคอยสนับสนุนการใช้ชีวิตเรามาตลอด พ่อเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ อาจจะงานยุ่งจนไม่ได้มาอยู่ใกล้มาเจอกันมากนัก แต่อยากจะขอบคุณสำหรับความเชื่อใจ ความไว้วางใจที่ให้เราตลอดมา ขอบคุณที่เชื่อว่าเราจะทำได้ เชื่อในสิ่งที่เราตัดสินใจ ไม่คอยขัดขวาง หรือระแวงใดๆและสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง จะตั้งใจจนสำเร็จเหมือนที่บอกนะคะ ขอบคุณค่ะ แม่ก็ด้วย


สุดท้ายนี้เพื่อที่จะได้เป็นสถาปนิกเต็มตัว ทำให้มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตแบบเท่ มีความกระฉับกระเฉง และที่สำคัญ มีความสุข เป้าหมายที่กล่าวมาทั้งหมด จะพยายามให้มันเป็นจริงให้ได้ ด้วยการตั้งใจอย่างไม่ท้อถอยไยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ หลักการเดิมก็ยังคงใช้ได้เสมอ แต่เมื่อโตขึ้น เราจะต้องมีมุมมองที่กว้างขึ้น ดังนั้นจึงต้องมองถึงประโยชน์ที่เราจะกระทำต่อสังคมสถาปนิก และประเทศไทย โดยประโยชน์ที่เล็งเห็นว่าเรามีโอกาสที่จะทำได้ ก็เกี่ยวกับ THESIS ด้วย คือ การศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกันพลังงานที่จะทำให้สถาปนิกหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงาม รวมถึงการใช้งานที่ช่วยให้การใช้ทรัพยากรต่างๆนั้นอย่างมีความคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้ประเทศไทยของเรายังคงมีความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป นั่นเป็นสิ่งที่คาดหวังมากที่สุดเลย 
                                                                                     ทอรุ้ง โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ 52020034