มรดกวัฒนธรรม สามศาสนา ย่านกุฎีจีน
ข้อมูลทั่วไป
อาณาเขต
ทิศเหนือ
ติดกับ ชุมชนวัดกัลยาณ์
ทิศใต้
ติดกับ โรงเรียนซางตาครู้สศึกษา
ทิศตะวันออก
ติดกับ แม่น้ำเจ้าพระยา
ทิศตะวันตก
ติดกับ ถนนเทศบาลสาย 1
จำนวนบ้านทั้งหมด
280 หลังคาเรือน
จำนวนครอบครัว
346 ครอบครัว
จำนวนประชากร
1850 คน
-
ผู้ชาย 820 คน
-
ผู้หญิง 1030 คน
(ข้อมูลจากที่ทำการชุมชนกุฎีจีน ปี พ.ศ.2554)
ประวัติและความเป็นมาของชุมชน

คำว่า “กุฎี” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กะดี”
เป็นคำโบราณที่ใช้เรียกอาคารหรือศาสนสถานมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาและต่อเนื่องจนถึงกรุงธนบุรี
กุฎีจีน หรือ กะดีจีน คือชื่อเรียกชุมชนอันติดปากผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้
หากได้ยินเพียงชื่อ อาจทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นชุมชนชาวจีน แต่แท้ที่จริงแล้ว
ไม่ได้มีแค่คนจีนเท่านั้น ยังมีผู้คนหลากหลายทั้งมุสลิมและชาวคริสต์
อาศัยอยู่ร่วมกันมา 200 ปีแล้ว
ผู้คนในชุมชนส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเห็นได้จากการตกแต่งบ้านเรือนด้วยศิลปะที่กล่าวถึงและบูชาพระเยซูคริสต์
คนในชุมชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
สามัคคีกลมเกลียวฉันเครือญาติ มีบาทหลวงเป็นผู้นำชุมชน เมื่อมีกิจกรรมในชุมชน
สมาชิกชุมชนต่างพร้อมใจร่วมมืออย่างเต็มที่
ภายในชุมชนยังสามารถพบเห็นบ้านไม้สถาปัตยกรรมในรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของ"เรือนแบบขนมปังขิง" หรือเรือนมะนิลา อันเป็นรูปแบบของอาคารที่มีการตกแต่งประดับประดาด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลาย
ตามบริเวณหน้าจั่ว ช่องระบายอากาศ ลูกกรงระเบียง และรอบชายคา

และในปัจจุบัน ชุมชนกุฏีจีน
ยังปรากฏตระกูลที่สืบเชื้อสายโปรตุเกสอยู่ถึง 18 ครอบครัว อาทิ
. 1. แก้วขจร
2. โกกิลานนท์
3. โกญจนาท
4. ไกรประสิทธิ์
5. จเรินสุข
/ เจริญสุข มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า ฟิลลิปเป
6. จุลละมณฑล
มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เปรล่า
7. ตากรู้ส
8. ทรรทรานนท์
9. ธนูสิงห์
10. นิตโย
11. ประสาทพร
มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เบเนดิกส์
12. มณีประสิทธิ์
มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า เบเนดิกส์
13. วิรัชพากย์
14. สกุลทอง
15. สวสุต
16. สิงหทัต
มาจากสกุลเดิมโปรตุเกสว่า โอลิม
17. หอมนิยม
18. กัลมาพิจิตร์ สืบเชื้อสายมาจากขุนกัลมาพิจิตร์
กรมฝรั่งแม่นปืน ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
แต่ตระกูลที่มีชื่อเสียง
และสร้างความน่าสนใจให้กับชุมชนนี้ คือตระกูล “ธนูสิงห์” โดยมีชื่อเสียงจากการที่ยังคงทำขนมโบราณในแบบฉบับดั้งเดิมที่รู้จักกันดีในชื่อ
“ขนมฝรั่งกุฎีจีน”
ขนมฝรั่งกุฎีจีน
เป็นขนมโบราณที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ
ปัจจุบันขนมกุฎีจีนได้ทำอยู่ประจำที่ชุมชนกุฎีจีน
เอกลักษณ์ของขนมกุฎีจีนชนิดนี้อยู่ที่เป็นขนมลูกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง
ตัวขนมเป็นตำรับของโปตุเกส ขณะที่หน้าของขนมเป็นจีน ซึ่งประกอบด้วยฝักเชื่อม
ชาวจีนเชื่อว่ารับประทานแล้วจะร่มเย็น
น้ำตาลทรายทานแล้วจะมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนกับน้ำตาลทรายที่นับเม็ดไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีลูกพลับอบแห้ง และลูกเกด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีราคาและมีคุณค่าทางอาหาร
แม้ขนมฝรั่งหน้าตากระเดียดมาทางขนมเค้ก
แต่ด้วยสูตรพิเศษที่สืบทอดมาแต่โบราณจะใช้เพียงไข่ แป้งสาลี
และน้ำตาลทรายแดงเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของเนยนม ยีสต์ ผงฟู และสารกันบูด
แต่เมื่อผ่านการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ
จะได้ขนมที่ออกมารสชาติกรอบนอกนุ่มในพอดิบพอดี ยากที่จะเลียนแบบ
การอยู่ร่วมกันของชาวชุมชนกุฎีจีนถือเป็นวิถีชีวิตที่มีความน่าสนใจและอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างมาก
และสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของแต่ละศาสนาที่ประกอบอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก
ก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม โดยชุมชนกุฎีจีนมีสถานที่สำคัญและประวัติความเป็นมาที่หลากหลาย
โดยส่วนใหญ่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา ที่ประกอบกันด้วย 3 ศาสนา ดังนี้
1. ศาลเจ้าเกียนอันเกง
ตามบันทึกประวัติศาลเจ้าเกียนอันเกง
บันทึกว่ากุฎีจีนสร้างในสมัยกรุงธนบุรีโดยชาวจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสิน เดิมมี 2 ศาล คือ ศาลเจ้าโจวซือกง และศาลเจ้ากวนอู ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 ย้ายพระนครไปกรุงเทพ
คนจีนเหล่านี้จึงอพยพไปรวมกับพวกที่ย่านตลาดน้อยและสำเพ็ง ศาลเจ้าจึงถูกทิ้งร้าง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้บูรณะรวมกันเป็นศาลเดียวกันแล้วอัญเชิญเจ้าแม่กวนอิมมาประดิษฐานให้ชื่อว่า
ศาลเจ้าเกียนอันเกง ศาลเจ้านี้จึงเป็นร่องรอยของชุมชนในย่านกุฎีจีน
2. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
เป็นพระอารามหลวงสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในวิหารหลวงประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัย
และภายในวิหารเล็กมีภาพเขียนฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นเรื่องพุทธประวัติ
และความเป็นอยู่ของบ้านเรือนไทยในยุคนั้น
3. วัดประยุรวงศาวาส
“เขามอ” เป็นภูเขาจำลองขนาดเล็ก
ก่อด้วยศิลาตั้งอยู่กลางสระน้ำบริเวณหน้าวัด มีศาลาราย ๘ หน้า
ตั้งอยู่ริมสระน้ำเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
มีบันไดขึ้นสู่ยอดเขา
บนยอดเขาเป็นที่ตั้งพระสถูปหล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทองสำหรับบรรจุพระพุทธรูปสำคัญไว้ภายใน และทางทิศใต้ของเขามอ
เป็นที่ตั้งของมณฑปโกธิค ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเบื้องหลังมณฑปโกธิค
ยังมีศาลเจ้าจำลอง ทำให้เราสามารถเห็นภาพของสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานได้อย่างชัดเจน
ศาสนาคริสต์
โบสต์ซางตาครู้ส
อีกหนึ่งศาสนสถานที่อยู่คู่กับชุมชนแห่งนี้มากว่า ๒๔๐ ปี ศาสนสถานแห่งนี้ก็คือ
วัดซางตาครู้ส หรือโบสถ์ซางตาครู้ส เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกชาวชุมชนกุฎีจีนที่นี่สืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกสตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ภายหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายแก่ข้าศึก ชาวยุโรปส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปนอกราชอาณาจักร
คงเหลือไว้แต่ชาวโปรตุเกสที่เข้าร่วมรบกับพระยาตาก จวบจนได้รับชัยชนะเหนือพม่าข้าศึก
ดังจดหมายของสังฆราชเลอบ็อง(Mgr. Le Bon) กล่าวไว้ว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงวางพระราชหฤทัยในพวกเข้ารีต”
คำว่าพวกเข้ารีต นี้ หมายถึงพวกคริสตังเชื้อสายโปรตุเกส
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
คุณพ่อยาโกเบ กอรร์(Jacues Corre) บาทหลวงมิชชันนารีที่ลี้ภัยสงครามไปอยู่ในเขมรได้เดินทางกลับมายังเมืองบางกอก
พร้อมกับคริสตังชาวญวน ๓ คน และชาวไทยอีก ๑ คน โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานที่ดินและโอนที่ดินผืนหนึ่งให้บริเวณใกล้ปากคลองบางกอกใหญ่
เมื่อ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๑๒ คุณพ่อกอรร์
ได้ตั้งชื่อที่ดินผืนนี้ว่า “ซางตาครู้ส” (Santa
Cruz) ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกส Santa แปลว่า
ศักดิ์สิทธิ์ Cruz = Cross แปลว่า ไม้กางเขนรวมความหมายถึง
“กางเขนศักดิ์สิทธิ์” ฉะนั้นในวันที่
๑๔ กันยายนของทุกปี จะมีพิธีฉลองไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ตัวอาคารของวัดซางตาครู้ส
เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก และเรเนอซองส์ อาคารโบสถ์หลังนี้นับเป็นหลังที่ ๓ นับตั้งแต่มีการตั้งวัดซางตาครู้ส
ศาสนาอิสลาม
ชาวมุสลิมเป็นกลุ่มชนที่มาตั้งรกรากในธนบุรีจำนวนมากรองจากชาวจีน
ส่วนใหญ่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา ภายหลังสมเด็จพระเจ้าตากสิน สถาปนากรุงธนบุรีแล้ว
มุสลิมบางส่วนอยู่ในธนบุรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะธนบุรีเป็นเมืองท่าจึงมีพ่อค้ามุสลิมจากหัวเมืองมลายูโดยเฉพาะหลังจากประเทศไทยเปิดการค้าเสรีภายใต้สนธิสัญญาเบาริ่ง
ศูนย์กลางของมุสลิมในธนบุรีอยู่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ โดยมีมัสยิด ดังนี้
1. มัสยิดบางหลวง
มัสยิดบางหลวง
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2328) โดยพ่อค้ามุสลิมชื่อโต๊ะหยี ได้รวบรวมสมัครพรรคพวก
ทำการก่อสร้างมัสยิดขึ้นในหมู่บ้าน “เป็นทรงไทยก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง”
มีหน้าบันหน้า-หลังประดับด้วยปูนปั้นลายศิลปะ 3 ชาติคือ ที่กรอบหน้าบัน เป็นเครื่องลำยอง ประดับห้ามลายไว้บนยอด
เป็นศิลปะไทย ส่วนในหน้าบัน เป็นปูนปั้นลายก้านแย่งใบฝรั่งเทศ เป็นศิลปะฝรั่ง
และที่ส่วนดอกไม้ เป็นดอกเมาตาล เป็นศิลปะจีน
ลายศิลปะ 3 ชาตินี้ ได้นำมาประดับที่กรอบประตูและหน้าต่างทุกบานของมัสยิด
ในส่วนตัวอาคารที่เป็นปูน ทาสีขาวทั้งหมด ส่วนที่เป็นไม้จึงสีเขียว
จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าว่า "กุฎีขาว" (คำว่า กุฎี
ถูกนำมาใช้เรียกศาสนสถานของมุสลิมมาแต่สมัยอยุธยา
แต่เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 ได้เปลี่ยนคำเรียกเป็นมัสยิด) ขณะเดียวกัน ท่านโต๊ะพิมเสน ได้ขอซื้อพระตำหนักวังหน้าเก่ามาทำเป็นศาลามัสยิดขึ้น
1 หลัง เป็นไม้ทั้งหลังและเป็นทรงไทยเช่นเดียวกัน
แม้ตัวอาคารจะเป็นทรงไทย
ซึ่งนับว่าเป็น “มัสยิดก่ออิฐถือปูนแห่งเดียวในโลกที่เป็นทรงไทย”
แต่ผู้สร้างก็ได้บรรจุหลักการสำคัญของศาสนาอิสลามไว้ คือ มี มิมบัร
(แท่นแสดงธรรม คล้ายธรรมาศน์ของพระภิกษุ) มิหฺร็อบ (ที่ละหมาดของอิหม่าม)
โครงสร้างภายในก็เป็น พื้นราบ สะอาด ปราศจากรูปเคารพ มีเสาค้ำยันพาไล จำนวน 30
ต้น เท่ากับบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุลอาร ที่มี 30 บท และห้องละหมาดมี 12 หน้าต่าง 1 ประตู รวม 13 ช่อง เท่ากับจำนวนรุกุ่น หรือกฎละหมาด 13
ข้อ
30 ปีถัดมา มิมบัรเก่าในมัสยิดชำรุดลง เจ้าสัวพุก พ่อค้าจีนมุสลิม (ต้นตระกูล
พุกภิญโญ) ได้ทำการก่อสร้างมิมบัรและมิหรอบขึ้นใหม่ เป็นซุ้มทรงวิมาน
ก่ออิฐถือปูนปิดทอง ผสมผสานด้วยลวดลายปูนปั้นของศิลปะ 3 ประกอบด้วย
ฐานเสา เป็นปูนปั้นลวดลายไทย เกี่ยวกระหวัดด้วยกิ่งใบฝรั่งเทศและดอกเมาตาลของจีน
ตลอดตัวเสาประดับกระจกสีลายไทย เป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายรักร้อย และลายแก้วชิงดวงส่วนด้านบนเป็นทรงวิมาน 3 ยอด สอดแทรกด้วยลวดลาย ก้านใบฝรั่งเทศและดอกเมาตาลของจีน เต็มทั้ง 3 ยอด ตลอดทั้งซุ้มประดับด้วยกระจกหลากสี พร้อมกับได้แกะสลักแผ่นไม้เป็นอักษรอาหรับนูนลอย เป็นชื่อ อัลเลาะห์ นบีมูฮำหมัด บุคคลสำคัญของศาสนา บทอัลกุรอานที่สำคัญ ติดตั้งไว้ภายในซุ้ม
2. มัสยิดต้นสน
เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งของประเทศไทย
มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มัสยิดต้นสน เดิมเรียกว่า “กุฏีใหญ่” โดยเรียกย่อมาจากคำว่า “กุฏีบางกอกใหญ่” เพราะตั้งอยู่บริเวณใกล้ปากคลองบางกอกใหญ่
หลังจากมีการสร้างอาคารใหม่และปลูกต้นสนคู่ที่หน้าประตูกำแพง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “มัสยิดต้นสน”
มัสยิดต้นสนเมื่อแรกสร้างเป็นเพียงเรือนไม้ยกพื้น
ฝาขัดแตะ และหลังคามุกจาก
หลังจากที่ชาวมุสลิมที่มาประกอบพิธีทางศาสนามีจำนวนมากขึ้น
จึงมีการขยายมัสยิดให้กว้างขวาง โดยเปลี่ยนเป็นเรือนไม้สักและหลักคามุงกระเบื้อง
ในสมัยรัชกาลที่ 2
ได้มีการสถาปนามัสยิดให้เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
หน้าบันเป็นลายลงรักปิดทองประดับช่อฟ้า ใบระกาคล้ายวัดในพุทธศาสนา ต่อมารัชกาลที่ 3
โปรดเกล้าฯให้ยกช่อฟ้าใบระกาออก เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด

จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนที่มีคนอยู่ร่วมกันถึงสามศาสนา คือ
พุทธ คริสต์ และอิสลาม มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี ทำให้เกิดโครงการมากมายที่ต้องการสืบสานมรดกวัฒนธรรมย่านกุฎีจีน
ซึ่ง "ย่านกุฎีจีน" นั้นยังได้รับเลือกเป็นพื้นที่นำร่องชุมชนโบราณกลางเมือง
ด้วยเหตุที่เป็นชุมชนเก่าแก่เพียงไม่กี่ชุมชน
ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างสวยงามหลงเหลืออยู่ภายในเป็นจำนวนไม่น้อยไม่น้อย
แต่ถึง "ย่านกุฎีจีน" จะเป็นย่านนำร่องในการบำรุงรักษาชุมชนเชิงอนุรักษ์
จากการเดินสำรวจภายในและโดยรอบชุมชน ทำให้พบว่าในปัจจุบันพื้นที่ของชุมชนกำลังถูกทำลายทั้งจากสิ่งก่อสร้างที่กำลังเพิ่มขึ้น
ความสะดวกสบายทางการคมนาคมที่เข้าใกล้มากขึ้น อาจจะทำให้ความสงบสุขและความเงียบที่เป็นเสน่ห์ของกุฎีจีนอาจค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา
ข้อมูลละเอียดยิบเลย ชอบมากครับ แหม่
ตอบลบชอบมากค่ะ
ตอบลบ